หน่วยสมรรถนะ

หน่วยสมรรถนะ

ประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว

สาขาวิชาชีพธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว


รายละเอียดหน่วยสมรรถนะ


1. รหัสหน่วยสมรรถนะ ECM-ZZZ-4-016ZA

2. ชื่อหน่วยสมรรถนะ ประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว

3. ทบทวนครั้งที่ - / -

4. สร้างใหม่ ปรับปรุง

5. สำหรับชื่ออาชีพและรหัสอาชีพ (Occupational Classification)

อาชีพนักการตลาดพื้นที่สีเขียว ชั้น 4


1 2431 ผู้ประกอบวิชาชีพด้านโฆษณาและการตลาด

6. คำอธิบายหน่วยสมรรถนะ (Description of Unit of Competency)
     เป็นหน่วยสมรรถนะที่ผู้ปฏิบัติงานมีทักษะในการปฏิบัติงานประจำขึ้นพื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในประเมินสภาพแวดล้อมรายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยมีทักษะทางเทคนิคในการปฏิบัติงาน มีทักษะทางความคิดและปฏิบัติที่หลากหลายครอบคลุมการปฏิบัติงาน หาข้อสรุปและการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานโดยใช้ทฤษฎีและเทคนิคอย่างอิสระด้วยตนเอง

7. สำหรับระดับคุณวุฒิ
1 2 3 4 5 6 7 8

8. กลุ่มอาชีพ (Sector)
2431 ผู้ประกอบวิชาชีพด้านโฆษณาและการตลาด

9. ชื่ออาชีพและรหัสอาชีพอื่นที่หน่วยสมรรถนะนี้สามารถใช้ได้ (ถ้ามี)
ไม่ระบุ

10. ข้อกำหนดหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Licensing or Regulation Related) (ถ้ามี)
ไม่ระบุ

11. สมรรถนะย่อยและเกณฑ์การปฏิบัติงาน (Elements and Performance Criteria)
หน่วยสมรรถนะย่อย (EOC) เกณฑ์ในการปฏิบัติงาน (Performance Criteria) รหัส PC
(ตามเล่มมาตรฐาน)
รหัส PC
(จากระบบ)
01341 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด 1.1 อธิบายความสำคัญของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด 01341.01 79448
01341 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด 1.2 ระบุประเภทของสภาพแวดล้อมทางการตลาดแบ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายนอก และสภาพแวดล้อมภายใน 01341.02 79449
01342 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.1 อธิบายความหมายของสภาพแวดล้อมภายนอก 01342.01 79450
01342 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.2 อธิบายประเภทของสภาพแวดล้อมภายนอก 01342.02 79451
01342 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.3 จำแนกสภาพแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค 01342.03 79452
01342 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.4 จำแนกสภาพแวดล้อมภายนอกระดับมหภาค 01342.04 79453
01342 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก 2.5 ประยุกต์ใช้ความรู้สภาพแวดล้อมภายนอกตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายนอกของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว 01342.05 79454
01343 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 3.1 อธิบายความหมายของสภาพแวดล้อมภายใน 01343.01 79455
01343 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 3.2 ระบุประเภทของสภาพแวดล้อมภายใน 01343.02 79456
01343 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 3.3 อธิบายสภาพแวดล้อมภายในส่วนผสมทางการตลาด 01343.03 79457
01343 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 3.4 อธิบายสภาพแวดล้อมภายในส่วนบริบทของกิจการ 01343.04 79458
01343 วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 3.5 ประยุกต์ใช้ความรู้สภาพแวดล้อมภายในตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายในของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว 01343.05 79459
01344 ประเมินสภาพแวดล้อม 4.1 จำแนกผลการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในทางการตลาดของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว 01344.01 79460
01344 ประเมินสภาพแวดล้อม 4.2 ประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว 01344.02 79461
01345 รายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด 5.1 อธิบายรูปแบบการนำเสนอในรายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด 01345.01 79462
01345 รายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด 5.2 จัดทำรายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด 01345.02 79463

12. ความรู้และทักษะก่อนหน้าที่จำเป็น (Pre-requisite Skill & Knowledge)

ไม่ระบุ


13. ทักษะและความรู้ที่ต้องการ (Required Skills and Knowledge)

(ก) ความต้องการด้านทักษะ

1. ทักษะการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดของธุรกิจจัดการพื้นที่สีเขียว

2. ทักษะในการสื่อสาร 

3. ทักษะการใช้โปรแกรมเพื่อสนับสนุนงาน

(ข) ความต้องการด้านความรู้

1. การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก

การตรวจสอบสภาพแวดล้อม (Environmental Scanning) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1.1 การตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายนอก (External Environmental Scanning) 

ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม (Task Environment or Industry Environment) และสภาพแวดล้อมของสังคม(Societal Environment)

1.2 การตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายใน (Internal Environmental Scanning) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โครงสร้าง (Structure) วัฒนธรรมองค์การ (Culture) และทรัพยากร (Resources)  ของบริษัท

การตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายนอก(Environmental Scanning and Industry Analysis)

สภาพแวดล้อมภายนอกมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกิจการ การที่กิจการจะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถที่จะปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริหารจะต้องมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะแข่งขันได้ในสถานการณ์ต่างๆ และต้องมีความสามารถที่จะปรับตัวให้เหมาะสมกับกลยุทธ์เหล่านั้น กลยุทธ์ที่เหมาะสมทั้งต่อสถานการณ์ภายนอก และสอดคล้องกับการปฏิบัติงานของบริษัทจะถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการอยู่รอดในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีความซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์จากผู้ที่มีประสบการณ์และมีการตรวจสอบจากปัจจัยแวดล้อมหลายๆ ตัวประกอบกัน เพื่อที่จะทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องถึงระดับของการเปลี่ยนแปลงหรือแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา การที่สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ถือได้ว่าเป็นอุปสรรคที่สำคัญประการหนึ่งของผู้บริหารในการวางแผนกลยุทธ์ เพราะว่าการคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำได้ยากขึ้น และถ้าผู้บริหาร   ไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมก็มีแนวโน้มว่า แผนกลยุทธ์ที่วางไว้จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น

การตรวจสอบสภาพแวดล้อม (Environmental Scanning)

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ผลประกอบการที่ดี และกำไรของกิจการมักจะเกิดจากการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ และการวางแผนที่ดีนั้น ต้องมีการตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารกิจการทุกแห่งจะต้องให้ความสนใจกับการประเมิน หรือ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่จะมีผลกระทบต่อบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อมองหาโอกาส หรืออุปสรรคที่จะต้องเผชิญและแก้ไขต่อไปในอนาคต

สภาพแวดล้อมภายนอก คืออะไร (Environmental Variables)

คือสิ่งแวดล้อมภายนอกที่จะมีผลกระทบต่อบริษัทและสามารถทำให้บริษัทได้โอกาส หรือเกิดอุปสรรคในการบริหารกิจการได้ สำหรับสภาพแวดล้อมภายนอกที่จะนำมาวิเคราะห์ในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ หรือ นำมาใช้ในเรื่องของยุทธศาสตร์การบริหารนั้นจะมี 2 ประเภทคือสภาพแวดล้อมทางสังคม (Societal Environment) และสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม (Task Environment or Industry Environment)

ในการประเมินสภาพแวดล้อมภายนอกตัวแรก หรือ สภาพแวดล้อมทางสังคม(Societal Environment)มีตัวแปรหลายตัวที่กิจการจะต้องให้ความสำคัญ และตัวแปรเหล่านี้จะมีผลต่อการดำเนินงานในระยะยาว ซึ่งประกอบไปด้วย ตัวแปรที่สำคัญ 4 ตัวคือ

1. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic Forces) เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบ เงิน พลังงาน และ ข้อมูลข่าวสาร

2. สภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Technological Forces) เป็นตัวแปรที่จะช่วยนำเสนอสิ่งใหม่ๆ มาใช้ในการแก้ปัญหาของกิจการ

3. สภาพแวดล้อมทางด้านการเมืองและกฎหมาย (Political – legal Forces) เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง การออกกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ ที่จะเป็นประโยชน์หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารกิจการ

4. สภาพแวดล้อมทางด้านสังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural Forces) เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมของคนในสังคม ความเชื่อ บรรทัดฐาน ประเพณี และแนวทางในการดำเนินชีวิต

สำหรับการประเมินสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม (Task Environment or Industry Environment) จะเป็นการวิเคราะห์ถึงกลุ่มที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินกิจการของบริษัท ซึ่งกลุ่มที่ว่านี้   จะหมายรวมถึง รัฐบาล (governments) ชุมชนท้องถิ่น (local communities) ผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ (suppliers) 

คู่แข่งขัน (competitors) ลูกค้า (customers) ผู้ให้สินเชื่อ (creditors) ลูกจ้างหรือพนักงาน (employee/labor unions) กลุ่มที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอื่นๆ (special – interest groups) และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง (trade associations) ผู้บริหารกิจการจะต้องให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกทั้งสองประเภท คือ ทั้งสภาพ  แวดล้อมทางสังคม และสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม เพราะว่าสภาพแวดล้อมทั้งสองประเภทนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้กิจการประสบความสำเร็จได้ในอนาคต

ตัวอย่างของตัวแปรที่จะต้องวิเคราะห์ในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางสังคม (Some Important Variables in the Societal Environment)

1. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic)

1.1 แนวโน้มของค่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product; GNP trends)

1.2 อัตราดอกเบี้ย (Interest rates)

1.3 ปริมาณเงินในประเทศ (Money supply)

1.4 อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rates)

1.5 ระดับการว่างงานภายในประเทศ (Unemployment levels)

1.6 อัตราค่าแรงขั้นต่ำ (Wage/price controls)

1.7 การปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนหรือมูลค่าของเงินบาท (Devaluation) หรือการเพิ่มค่าของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท (Revaluation)

1.8 ปริมาณพลังงานและต้นทุนของพลังงาน (Energy availability and cost)

1.9 รายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable and discretionary income) เป็นรายได้หลังหักภาษีและรายได้ตัวนี้จะแสดงถึงอำนาจซื้อที่แท้จริงของประชาชนและการออมด้วย

2. สภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Technology)

2.1 การใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Total federal spending for R&D)

2.2 การใช้จ่ายของภาคเอกชนเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Total industry spending for R&D)

2.3 การให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยี (Focus of technological efforts)

2.4 การให้ความคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์ (Patent protection)

2.5 การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ (New products)

2.6 การพัฒนาเทคโนโลยีจากห้องทดลองสู่ตลาด (New developments in technology transfer from lab to market place)

2.7 การปรับปรุงผลผลิตผ่านระบบอัตโนมัติ (Productivity improvements through automation)

3. สภาพแวดล้อมทางด้านการเมืองและกฎหมาย (Political – legal )

3.1 กฎหมายป้องกันการผูกขาด (Antitrust regulations)

3.2 กฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environmental protection laws)

3.3 กฎหมายเกี่ยวกับการเสียภาษี (Tax laws)

3.4 สิทธิพิเศษทางกฎหมายอื่นๆ (Special incentives)

3.5 กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (Foreign trade regulations)

3.6 ทัศนคติต่อบริษัทต่างชาติ (Attitudes toward foreign companies)

3.7 กฎหมายการจ้างงานและการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง (Laws on hiring and promotion)

3.8 ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล (Stability of government)

4. สภาพแวดล้อมทางด้านสังคมและวัฒนธรรม

4.1 การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต (Life – changes)

4.2 ความคาดหวังหรือโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (Career expectations)

4.3 บทบาทของผู้บริโภค (Customer activism)

4.4 อัตราการตั้งครอบครัวใหม่ (Rate of family formation)

4.5 อัตราการเพิ่มของประชากร (Growth rate of population)

4.6 การกระจายของอายุของประชากร (Age distribution of population)

4.7 การกระจายของถิ่นที่อยู่ของประชากร (Regional shifts in population)

4.8 อายุเฉลี่ยของประชากร (Life expectancies)

4.9 อัตราการเกิด (Birth rates)


14. หลักฐานที่ต้องการ (Evidence Guide)

(ก) หลักฐานการปฏิบัติงาน (Performance Evidence)

1. แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)

(ข) หลักฐานความรู้ (Knowledge Evidence)

1. หนังสือรับรองประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดสภาพแวดล้อมภายนอกสภาพแวดล้อมภายในประเมินสภาพแวดล้อมรายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดจากนายจ้าง หรือ

2. หนังสือรับรองผ่านการฝึกอบรมที่เกี่ยวเนื่องกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด สภาพแวดล้อมภายนอก สภาพแวดล้อมภายใน ประเมินสภาพแวดล้อม รายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด หรือ

3. หากไม่มีหลักฐานความรู้ตามข้อ 1 และ 2 ข้างต้น ต้องมีแฟ้มสะสมผลงานที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด สภาพแวดล้อมภายนอก สภาพแวดล้อมภายใน ประเมินสภาพแวดล้อม รายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด และสามารถใช้โปรแกรม Microsoft Office ในการทำงาน

(ค) คำแนะนำในการประเมิน

1. ผู้ประเมินตรวจประเมินเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด

2. พิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหลักฐานการปฏิบัติงาน และหลักฐานด้านความรู้

(ง) วิธีการประเมิน

1. การประเมินความรู้ด้วยข้อสอบปรนัย

2. การประเมินความรู้ด้วยข้อสอบอัตนัย

3. แฟ้มสะสมผลงาน

4. การสัมภาษณ์


15. ขอบเขต (Range Statement)

(ก) คำแนะนำ 

1. ผู้เข้ารับการประเมินต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด

2. ผู้เข้ารับการประเมินต้องมีความรู้เรื่องการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด สภาพแวดล้อมภายนอก สภาพแวดล้อมภายใน ประเมินสภาพแวดล้อม รายงานผลการประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาด

(ข) คำอธิบายรายละเอียด

ประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกิจการ การที่กิจการจะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถที่จะปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริหารจะต้องมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะแข่งขันได้ในสถานการณ์ต่างๆ และต้องมีความสามารถที่จะปรับตัวให้เหมาะสมกับกลยุทธ์เหล่านั้น กลยุทธ์ที่เหมาะสมทั้งต่อสถานการณ์ภายนอก และสอดคล้องกับการปฏิบัติงานของบริษัทจะถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการอยู่รอดในระยะยาวดังคำอธิบายข้อ 13. ทักษะและความรู้ที่ต้องการ (Required Skills and Knowledge)   (ข) ความต้องการด้านความรู้


16. หน่วยสมรรถนะร่วม (ถ้ามี)
ไม่ระบุ

17. อุตสาหกรรมร่วม/กลุ่มอาชีพร่วม (ถ้ามี)
ไม่ระบุ

18. รายละเอียดกระบวนการและวิธีการประเมิน (Assessment Description and Procedure)

- การประเมินความรู้ ด้วยข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก และข้อสอบแบบอัตนัย

- แฟ้มสะสมผลงาน

- การสอบสัมภาษณ์



ยินดีต้อนรับ